ผ้าปูที่นอนผลิตโดยการทอ ไม่ใช่การถัก เป็นการนำเส้นใย ซึ่งมีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เส้นใยลินิน เส้นใยฝ้าย เส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งเส้นใยต่างชนิดกันก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน รวมถึงคุณสมบัติที่ต่างกันด้วย ในเมืองไทยมักจะพบบ่อยในเส้นใยสังเคราะห์ (Polyester) ซึ่งมีราคาต่ำ และเส้นใยฝ้ายธรรมชาติ (Cotton) ซึ่งมีราคาที่สูงกว่า
สำหรับเส้นใยสังเคราะห์ (Polyester) เมื่อใช้ไปสักพัก จะเริ่มมีขุย หรือก้อนเม็ดเล็กๆจับตัวกัน เนื่องจากการหดตัว และขาดจากกัน ทำให้ผิวสัมผัสค่อนข้างกระด้าง ในขณะที่เส้นใยฝ้าย (Cotton) นั้น จะมีลักษณะบางเบา ผิวสัมผัสนุ่มกว่าเส้นใยสังเคราะห์ (Polyester) จึงทำให้โรงแรมตั้งแต่ 3 ดาวขึ้นไปมักจะเลือกใช้ผ้าปูที่นอนที่ผลิตจากเส้นใยฝ้าย (Cotton)
ทำไมตามท้องตลาดที่ขายผ้าปูที่นอน มักจะมีตัวเลขเพื่อแสดงเส้นด้ายบอกเสมอ??
จากที่ได้เขียนบทความก่อนหน้าอธิบายถึงชนิดของเส้นใยที่ใช้ในการผลิตผ้าปูที่นอน วันนี้เราจะมีเข้าใจตัวเลขที่บอกจำนวนเส้นด้ายกัน เค้าวัดกันอย่างไร???
ในปัจจุบันเรามีหน่วยวัดจำนวนเส้นด้ายอยู่ 2 หน่วยหลัก คือ จำนวนเส้นด้ายต่อตารางนิ้ว ซึ่งเป็นแบบสากลที่ใช้วัดกัน และอีกหน่วยคือ จำนวนเส้นด้ายต่อ 10 ตารางเซนติเมตร เราคงจะสับสนว่าที่เราเคยพบนั้นหน่วยคืออะไรกันแน่
ข้อสังเกตง่ายๆ จำนวนต่อตารางนิ้ว มักจะใช้ในธุรกิจโครงการ อาทิเช่นผ้าปูที่ใช้ในโรงแรม โรงพยาบาล หอพัก ในขณะที่ จำนวนเส้นด้ายต่อ 10 ตารางเซนติเมตรมักจะพับในท้องตลาดที่เราซื้อกัน อาทิเช่นในร้านขายเครื่องนอน ในห้างสรรพสินค้า
หลักที่มักเจอสำหรับหน่วยวัดสากล จะมีตัวเลขตั้งแต่ 180T 210T 250T 300T ในขณะที่หน่วยวัดอันหลังจะพบตั้งแต่ 325T จนถึง 1800T ดังนั้นก่อนซื้อผ้าปูที่นอนเราควรรู้ว่าจำนวนเส้นด้ายที่เค้าขายใช้หน่วยวัดอะไร เนื่องจากมีผลต่อราคาและคุณภาพ ทำให้เราถูกหลอกได้ง่าย ยกตัวอย่าง ผ้าปูที่นอน 300T ต่อตารางนิ้ว ย่อมดีกว่า 300T ต่อ 10 ตารางเซนติเมตรครับ ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจกันแล้ว ผมหวังว่าลูกค้าทุกท่านจะเลือกซื้อผ้าปูที่นอนที่ต้องการในราคาที่เหมาะสมนะครับ